วีรบุรุษยานุสรณ์
ในสมัยราชวงศ์ชิง พ.ศ. ๒๑๘๗ - ๒๔๕๔ พวกแมนจูได้ยกเลิกการแต่งตั้งขุนนาง ที่เป็นสามัญชนให้เป็น อ๋อง ทั้งหมดไม่ว่าเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ยกเว้นคนขายชาติ คนสกุลหลินที่ได้รับยกย่องให้มีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าต่างกรม เท่าที่ทราบคือ หลินลู่ เป็น จิ้นอานอ๋อง และหลินโม่เหนียงหรือเจ้าแม่ทับทิมหรือเจ้าแม่มาจู่ ที่ได้รับพระราชทานฐานันดรศักดิ์แทบทุกยุคราชวงศ์เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง จนถึงราชวงศ์ชิง ส่วนหลินเจ๋อสวีถึงแม้จะได้รับการสรรเสริญมาก ยกให้เป็นวีรบุรุษแห่งชาติ หรือเป็นรัฐบุรุษของชาติเช่นนี้ ย่อมจะมีโอกาสเป็น อ๋อง แน่นอน ราษฎรต่างยกย่องท่าน ทางมณฑลฝูเจี้ยนได้ให้ความสำคัญแด่ท่าน โดยจัดตกแต่งบ้านสถานที่เกิดตลอดจนสุสานให้อยู่ในสภาพที่ดีเหมาะสมกับฐานะที่ได้รับยกย่องว่าเป็นข้าราชการตงฉิน และทำงานอย่างไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเมื่อได้รับมอบหมาย เพื่อให้งานนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
กล่าวกันว่าช่วงที่หลินได้รับคำสั่งให้ไปปราบกบฏชาวนาที่มณฑลกว่างซีนั้น ถ้าหากเขายังมีชีวิตอยู่และไปเข่นฆ่าชาวนาที่เป็นชาวจีนฮั่นด้วยกัน และเป็นคนจีนภาคใต้ด้วยกัน หน้าประวัติศาสตร์ของหลิน คงเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งแน่นอน อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่เป็นอนุสรณ์เกี่ยวกับตัวหลิน พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้
๘.๑ วีรบุรุษผู้ปราบฝิ่น
หลินเจ๋อสวีเป็นชาวฮกเกี้ยน ที่บ้านของท่านคงพูดภาษาฮกเกี้ยน เช่นเดียวกับคนในตำบลโฮ่วกวนหรือฝูโจวในปัจจุบัน แต่ด้วยฐานะทางครอบครัวที่มีการศึกษา จึงทำให้หลินได้รับการศึกษาจากบิดามารดา ตั้งแต่สามขวบ พอถึงเจ็ดขวบจึงเข้าโรงเรียน ประกอบกับความฉลาดเฉลียวมีไหวพริบข้างจะเป็นเด็กอัจฉริยะ จึงสามารถเล่าเรียนได้รวดเร็วจนไต่เต้าขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงได้ด้วยอายุเพียง ๒๖ ปีเท่านั้น ในสังคมราชสำนักขณะนั้นเป็นสังคมของพวกแมนจูที่เข้ามาปกครองเป็นใหญ่ในประเทศจีน ชาวจีนฮั่นบางส่วนได้ต่อต้านชาวแมนจูตั้งกองกำลังกู้ชาติ เพื่อขับไล่พวกแมนจูออกไป ตำแหน่งขุนนางระดับสูงส่วนใหญ่เป็นพวกแมนจู หลินเจ๋อสวีเป็นอีกคนหนึ่งที่คงจะแยกแยะว่า อะไรควรไม่ควรเมื่อเปรียบเทียบกับปลายสมัยราชวงศ์หมิง ว่าราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขเพียงไร
สิ่งดีเด่นในตัวหลินเจ๋อสวีก็คือ ความเป็นคนตงฉิน ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน ไม่คดโกงเอาผลประโยชน์ใส่ตน หลินจึงเกลียดการทุจริตทุกรูปแบบ และไม่ยอมให้จิตใจของตนโอนเอียงไปสู่อำนาจแห่งเงินตรา ความร่ำรวยที่นำมาล่อให้ติดกับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าฝิ่นที่รุ่งเรืองในยุคนั้น ที่ทำให้คนจีนติดฝิ่นกันงอมแงมทั่วประเทศ แม้แต่ภายในราชสำนักก็ไม่เว้น ถึงแม้จะมีกฎหมายราชสำนักชิงได้ประกาศการปราบปรามฝิ่นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๓๙ ทั้งผู้ขายและผู้เสพ แต่มันก็ไม่ง่ายที่จะปราบปรามพวกต่างชาติที่อ้างการค้าขายสินค้าเช่นใบชา ฝ้ายบังหน้า แต่เบื้องหลังเป็นการค้าฝิ่นที่ขนกันมาจากอินเดียและพื้นที่ใกล้เคียงและต่อมาปลูกขายกันในประเทศจีนเสียเลย พวกขุนนางชั้นสูงจึงถูกชักจูงได้ง่ายหากใจอ่อน ถึงแม้หลินจะปราบฝิ่นได้ระดับหนึ่งที่กว่างตง แต่เมื่อทางอังกฤษใช้ไม้ตายปิดอ่าวและแม่น้ำและยึดเมือง และขู่ที่จะยกพลเข้าปักกิ่งทางเมืองเทียนจิน ข้างหลินได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะพัฒนากองทัพจีน ไม่ว่ากองเรือรบ ปืนใหญ่ ตลอดจนอาวุธต่างๆต้องปรับปรุงทั้งหมด ให้เทียบเท่ากองเรืออังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน ฝรั่งเศส หรือ โปรตุเกส ที่เข้ามาค้าขายกับจีน
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หลินมีชื่อเสียงไปทั่ว นั่นก็คือ เขาได้ทำสาสน์ไปถึงสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ เรื่องขอให้อังกฤษหยุดการค้าฝิ่นกับประเทศอื่น เมื่ออังกฤษรู้ว่า ฝิ่นเมื่อเสพแล้วเป็นอันตรายร้ายแรงแก่ชีวิต หลินได้ส่งสาสน์ไปเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒
๘.๒ สุสานประจำตระกูลหลินเจ๋อสวี
สุสานประจำตระกูลของหลินเจ๋อสวีตั้งอยู่ที่เชิงเขาจิ้นซื่อ ที่หมู่บ้านหม่าอัน นอกเมืองฝูโจว สุสานแห่งนี้หันหน้าไปทางภูเขาอู่เฟิ่ง หลินเจ๋อสวีได้ให้ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ เพื่อฝังศพบิดามารดาของเขาคือ หลินปิ่นรื่อ และเฉินเหวินหัว หลังจากที่เขาถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองเชาโจว แขวงมณฑลกว่างตงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๓ แล้ว ทางราชการได้เคลื่อนศพมาที่ฝูโจว มณฑลฮกเกี้ยน และฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้ บริเวณสุสานนอกจากหลุมศพบิดมารดาและตัวเขาแล้ว ยังได้ฝังศพภรรยาของเขา น้องชายคือ หลินเพ่ยหลินและน้องสะใภ้ รวมหกหลุมศพ ทางรัฐบาลมณฑลฮกเกี้ยนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของหลิน จึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ และบูรณะอีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ เพื่อป้องกันการพังทลายของดินด้านหน้าที่เป็นเนินดิน พร้อมกับปลูกต้นสนและต้นไผ่ด้านหลังสุสานด้วย
หลุมศพของหลินเจ๋อสวีหันไปทางทิศใต้เยื้องตะวันออก ตัวสุสานกว้าง ๑๓.๒ เมตร ส่วนสูง ๒๔.๘ เมตร ด้านหน้าหลุมศพมีรูปแกะสลักสิงโตคู่ผงาดอยู่ทั้งสองข้าง มีป้ายเขียนข้อความว่า หวู่เฟิงไหลเซียง หงส์ห้าตัวบินมาเริงระบำอยู่ณที่นี้ ปัจจุบันสุสานแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมและคารวะท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นรัฐบุรุษตงฉินคนหนึ่งของชาวจีน
๘.๓ พิพิธภัณฑ์บ้านหลินเจ๋อสวี
ทางรัฐบาลมณฑลฝูเจี้ยนได้บูรณปฏิสังขรณ์บ้านที่หลินเจ๋อสวีถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ลักษณะเป็นบ้านไม้เช่นเดียวกับชาวฝูโจวในสมัยนั้น ปัจจุบันตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๑๙ ถนนจงซาน เมืองฝูโจว โดยจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์หลินเจ๋อสวี เพื่อรวบรวมผลงานประเภทต่างๆ ได้แก่ ภาพถ่ายและภาพเขียนการสู้รบจากการปราบฝิ่น ชีวประวัติสังเขปของหลิน ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆที่ท่านทำได้สำเร็จ รวมทั้งผลงานเขียนบางส่วนของท่านด้วย ภายในห้องโถงหน้าบ้านมีเก๋งวางอยู่บนแท่นบูชา ภายในเก๋งมีรูปปั้นหลินแต่งกายแบบขุนนางชั้นสูงสมัยราชวงศ์ชิง เหนือเก๋งแท่นบูชาประดับประดาอย่างสวยงาม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เปิดให้ชาวจีนและนักท่องเที่ยวเข้าคารวะและชม เพื่อระลึกถึงคุณความดีของท่านที่มีต่อประเทศจีน
๘.๔ พิพิธภัณฑ์หลินเจ๋อสวีที่มาเก๊า
อนุสรณ์สถานของหลินเจ๋อสวีอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๑๖ ถนนกู่หลัว อำเภอกู่หลัว มาเก๊า อนุสรณ์แห่งนี้ได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘ เพื่อรำลึกถึงหลิน เป็นอาคารชื่อ อนุสรณ์สถานหลินเหวินผู้ที่ควรเคารพ ต่อมาด้วยอายุการก่อสร้างมากว่า ๗๗ ปี ย่อมชำรุดทรุดโทรม ไม่สง่างามตามสมัยของเมืองมาเก๊า ทางรัฐบาลเมืองมาเก๊าจึงได้ก่อสร้างขึ้นใหม่ในที่เดิมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ มีเนื้อที่ทั้งหมด ๓,๐๐๐ ตารางเมตร เฉพาะตัวอาคารมีพื้นที่ ๑,๐๐๐ ตารางเมตร ด้านหน้าอาคารมีฉากแผ่นหินกั้นประกอบด้วยภาพแกะสลักลอยนูนตอนเผาฝิ่นที่ตำบลหูเหมิน สองข้างทางเข้าเป็นประตูโค้งทำด้วยหินทั้งสองประตู บนโค้งประตูมีป้ายข้อความว่า ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโจวไห่ ที่บนเหนือประตูด้านหน้ามีข้อความว่า อาคารอนุสรณ์สถานหลินเจ๋อสวีผู้ที่ควรเคารพ เมื่อเดินเข้าไปในตัวอาคารแล้ว ทางเดินจะปูลาดด้วยแผ่นหินมุ่งตรงไปยังอาคารอนุสรณ์ มีแท่งศิลาประกอบคำจารึกของฮ่องเต้เต่อจง ( พ.ศ. ๒๔๑๘ ๒๔๕๑ ) รวมจำนวนสามแผ่น สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘ เป็นเรื่องราวการปราบปรามฝิ่นของพระองค์และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องด้วยหลินเจ๋อสวี ทางทิศเหนือของอาคารนี้เป็นอาคารชื่อ จูเต๋อ ภายในตรงกลางอาคารมีแท่นและเก๋งประกอบด้วยรูปปั้นหลินเจ๋อสวีสวมชุดขุนนางชั้นสูงราชวงศ์ชิงในท่านั่งอย่างภูมิฐานสง่างาม ส่วนทางทิศตะวันตกทิศใต้และทิศเหนือเป็นห้องอเนกประสงค์ ทางทิศตะวันตกเป็นอาคารสองชั้นเป็นหอซูซื่อ ใช้เป็นที่อ่านหนังสือ ตรงกลางเป็นสนาม บ่อปลาและสวนหิน ลานไม้ดอกไม้ประดับ ภายในอาคารจะมีนิทรรศการเกี่ยวกับหลินเจ๋อสวี ประกอบด้วย ชีวประวัติสังเขป เรื่องสงครามฝิ่น พ.ศ. ๒๓๘๓ ๒๓๘๕ เรื่องโครงการแก้ปัญหาการใช้น้ำและการอนุรักษ์น้ำ นอกจากนี้ยังมีผลงานเขียนของท่าน รวมทั้งต้นฉบับตัวเขียนลายมือของท่านนำมาจัดนิทรรศการด้วย
๘.๕ แสตมป์ที่ระลึก
รัฐบาลจีนได้ฉลองวันครบรอบปีที่ ๒๐๐ ของหลินเจ๋อสวีเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยส่วนหนึ่งได้ออกแสตมป์ที่ระลึก จำนวน ๒ แบบคือ ภาพหลินเจ่อสวีในชุดลำลองจากภาพถ่ายตัวจริง ขนาด ๒๗ x ๔๐ ม.ม. ราคา ๘ เฟิง และภาพลอยนูนการทำลายฝิ่นที่ชายหาดหูเหมิน ขนาด ๖๐ x ๒๗ ม.ม. ราคา ๘๐ เฟิง
๘.๖ อนุสาวรีย์
อนุสาวรีย์ที่เป็นรูปหล่อทองแดง มีประดิษฐานอยู่หลายแห่ง ที่เมืองฝูโจว สวนสาธารณะ เมืองมาเก๊า และที่เกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปแล้ว ชีวิตของหลินเจ๋อสวี ตั้งแต่วัยเด็กที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งที่อยู่ในครอบครัวที่มีการศึกษา และค่อนข้างจะมีฐานะทางสังคม หลินจึงได้รับการอบรมในด้านความซื่อสัตย์สุจริต ความมีศีลธรรม จริยธรรม นอกจากการเรียนฝ่ายบุ๋นแล้วหลินยังมีความรู้ความสามารถทางฝ่ายบู๊ด้วย จากความสามารถที่สอบติดตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับมณฑล ระดับนครหลวง และระดับราชสำนัก ซึ่งต้องผ่านด่านการสอบแข่งขันเป็นพันคนทุกระดับจนเหลือแต่เด็กหัวกระทิเท่านั้น ในด้านหน้าที่การงาน หลินมีความฉลาดหลักแหลม ในการตัดสินใจในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่าคนอื่นๆในที่ประชุมขุนนาง และได้รับความเชื่อถือมากกว่าคนอื่น และความเป็นคนตงฉินนี่เองที่สมเด็จพระจักรพรรดิโปรดเกล้าฯให้ไปแก้ปัญหา ที่หนักหนาสาหัสของแผ่นดิน ถึงแม้หลินจะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับชาวยุโรปได้ไม่กว้างขวางและลึกมากนัก เขาก็พยายามหาความรู้จากชาวต่างชาติเท่าที่จะทำได้ นอกจากการบริหารกิจการบ้านเมืองเป็นอย่างดีแล้ว หลินยังมีพรสวรรค์ในการเขียนโคลงกลอนและบทความในช่วงที่มีเวลาว่างจากงานราชการ จนต่อมาได้รับการรวบรวมและตีพิมพ์ ชื่อ รวมผลงานเลือกสรรของหลินเจ่อสวี Collected Works of Lin Zexu หลินเจ๋อสวีจึงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นรัฐบุรุษแห่งชาติของจีน ที่ได้รับการยกย่องนับถือตลอดมา และยังได้รับสมญานามว่า เปาชิงเทียน หรือ เปาบุ้นจิ้นแห่งสมัยราชวงศ์ชิง อีกด้วย
: สมบูรณ์ แก่นตะเคียน ๑๙ เมษายน ๒๕๕๑
|